วันจันทร์ที่ 8 กันยายน พ.ศ. 2557

ประวัติรถ Ducati

ประวัติดูคาติ (Ducati’s History)



          บริษัทนี้ถูกตั้งขึ้นในปี ค.ศ.1926 โดยนาย อันโตนิโอ คาวาเลียริ ดูคาติ (Antonio Cavalieri Ducati มีชีวิตในช่วงปี ค.ศ.1855-1927) ใช้ชื่อบริษัทว่า Società Scientifica Radio Brevetti Ducati ในครั้งแรกบริษัทนี้จดทะเทียนเพื่อการวิจัยและผลิตเทคโนโลยีเพื่อการสื่อสารทางวิทยุ ต่อมาลูกชายที่ชื่อ อาดริอาโน ดูคาติ (Adriano Ducati) ได้เข้ามาบุกเบิกทำให้การติดต่อทางวิทยุระหว่างประเทศอิตาลีกับอเมริกามีความเสถียรมากขึ้น และยังสามารถติดต่อข้ามทวีปทั้ง 5 ทวีปได้ ลูกชายของเค้าประสบความสำเร็จตั้งแต่ยังหนุ่ม แต่หลังจากเปิดบริษัทได้เพียงปีเดียว อันโตนิโอก็ได้เสียชีวิตลง ทำให้บรรดาลูกชายทั้งสามคนได้แก่ อาดริอาโน บรูโน และ มาร์เชลโล (Adriano Bruno และ Marcello Ducati) เข้ามาเริ่มพัฒนาและขยายกิจการอุตสาหกรรมของพวกเค้า เริ่มผลิตตัวเก็บประจุที่เรียกว่า “Manens ” ในห้องใต้ดินของอาคารที่ตั้งอยู่ในใจกลางของโบโลญญ่า, Via Collegio di Spagna ระหว่างปี 1930 และ 1934 การผลิตมีการขยายและย้ายที่โรงงานของไปที่ Viale Guidotti 51



      การสร้างโรงงานใหม่ได้มีการวางศิลาฤกษ์ ณ วันที่ 1 มิถุนายน ค.ศ. 1935 ซึ่งในเวลาต่อมา มีคนงานไม่น้อยกว่า 3500 คน แต่ทางบริษัทมีระบบการจัดระเบียบและได้อย่างมีประสิทธิภาพถือว่าดีที่สุดในโบโลญญ่า ในขณะนั้น ความมีคุณภาพของดูคาติในความเป็นจริง ไม่ได้มีเพียงคุณภาพที่ดีของผลิต ภัณฑ์เท่านั้น แต่ยังให้คุณภาพและสวัสดิการที่ดีไปถึงพนักงานด้วย ข้อดีทั้งหมดนี้ทำให้บริษัทเป็นที่ชื่นชอบของชาวเมืองเป็นอย่างยิ่ง ภายในโรงงานแบ่งเป็นสองส่วน ส่วนที่หนึ่งสำหรับพนักงานและอีกส่วนสำหรับคนงาน นอกจากนี้ภายในบริเวณโรงงานยังมีการให้บริการ ห้องสำหรับการอ่านหนังสือสองห้อง และมีโรงเรียนอาชีวศึกษา มีสนามเทนนิสและสนามวอลเลย์บอล มันเป็นเสมือนเมืองเล็กๆ จริงๆ เลย








     ในช่วงสงครามโลกครั้งที่สองโรงงานดูคาติถูกบังคับให้ทำการผลิตเพื่อกองทัพแทนที่การผลิตเพื่อพลเมือง เช่นเดียวกันกับบริษัทอื่น ๆ ในอิตาลี หลังจากสงครามวันที่ 8 กันยายน ค.ศ. 1943 โรงงานถูกครอบครองโดยกองทัพเยอรมันและถูกวางระเบิดทำลายในภายหลัง ณ วันที่ 12 ตุลาคม ค.ศ. 1944
             หลังจากสงครามโลกครั้งที่สองได้ผ่านพ้นไปแล้ว มีบริษัทเล็กๆ ชื่อว่า “SIATA” (Societa Italiana per Applicazioni Tecniche Auto-Aviatorie) มีเจ้าของชื่อ นายอัลโด ฟาริเนลลิ (Aldo Farinelli) ได้พัฒนาระบบเครื่องยนต์ขนาดเล็ก เพื่อติดตั้งในรถจักรยาน หลังจากนั้นเพียงหนึ่งเดือนเค้าได้ประกาศขายเครื่องยนต์นี้ในปี ค.ศ.1944 ชาวอิตาเลียนเรียกเครื่องยนต์นี้ว่า “คุตโช่ะโล (cucciolo)” จริงๆ แล้วคำนี้แปลว่า สัตว์ที่เพิ่งเกิดใหม่ เช่น ลูกสุนัข ลูกแมว ลูกหนู เป็นต้น และชื่อภาษาอังกฤษเรียกกันว่า “ลูกสุนัข (puppy)” เครื่องยนต์เล็กนี้ได้รับความสนใจจากบรรดานักธุรกิจทันที รวมทั้งสามพี่น้องดูคาติด้วย พวกเค้าได้มีการรวมมือกับ SIATA พร้อมทั้งฟื้นฟูโรงงานขึ้นมาใหม่บางส่วนในช่วงท้ายปี ค.ศ.1945 เพื่อเปิดการผลิตในเดือนมีนาคม ปี ค.ศ.1946 ผลิตภัณฑ์แรกที่เริ่มคือ cucciolo มีเครื่องยนต์ลูกสูบเดี่ยวที่จะนำไปใช้กับจักรยานปกติ ซึ่งได้รับการออกแบบโดย SIATA ในเมืองโตริโน่ (Torino)  ต่อจากนั้นถูกนำไปพัฒนาต่อโดย Caproni กลายเป็นรถจักรยานยนต์แบบแรกของดูคาติ ขายทั่วโลกกว่า 250,000 เครื่อง
Cucciolo 1947
          ในปี ค.ศ. 1948 ทางครอบครัวดูคาติได้ตัดสินใจขายบริษัทให้อยู่ในการถือครองของรัฐ และตัวอาดริอาโน (Adirano) ได้ย้ายไปอยู่ที่ประเทศอเมริกา และเข้าร่วมกับ Plamadyne เพื่อคิดค้นและพัฒนาระบบเครื่องยนต์พลาสม่า ให้กับองค์การนาซ่า (NASA)
           หลังจากนั้นตลาดรถจักรยานยนต์เริ่มมีการขยายตัวมากขึ้น ในปี ค.ศ. 1952 ดูคาติตัดสินใจร่วมมือกับ Cruiser นำเทคโนโลยีทั้งสองบริษัทมารวมกันผลิตรถจักรยานยนต์ ทำงานด้วยระบบไฟฟ้าอัตโนมัติ Ducati 175 Cruiser ทำการเปิดตัวที่มิลาน  ในปีถัดมาได้เปิดตัว รุ่น 98 cc และ 125 cc  แต่ผลการตอบรับกลับไม่ดีอย่างที่ควรทำให้สองปีต่อมาจึงยกเลิกการผลิตไปรุ่นนี้ไป

           ต่อมาในปี ค.ศ. 1954 บริษัทดูคาติได้แยกออกเป็น 2 บริษัทได้แก่ Ducati Electrical และ   Ducati Mechanical Fabio Taglioni.1ซึ่งบริษัท  Ducati Mechanical จะทำหน้าที่พัฒนาระบบยานยนต์ และ  Ducati Electrical จะเดินบนสายงานเหมือนตอนต้นที่ครอบครัวดูคาติตั้งใจเอาไว้ตั้งแต่แรก   และในปีเดียวกันนี่เองที่บริษัท Ducati Mechanical ได้เริ่มร่วมงานกับวิศกรฟาบิโอ่ (Fabio Taglioni)  ที่ใครๆ เรียกเค้าว่า “Doctor T”  เค้าเป็นอาจารย์สอนวิชาเทคนิค อยู่ที่อิโมล่า  (Imola) ซึ่งตัวของฟาบิโอ่เองมีการออกแบบมอเตอร์สำหรับรถแข่งเอาไว้ก่อนแล้ว ดังนั้นเค้าและดูคาติได้ร่วมกันพัฒนาและนำรถที่เค้าพัฒนาขึ้นทดลองลงแข่งใน “Milan-Taranto” และ “Tour of Italy”
Ducati 98 Page1
Ducati 1952-1954
Marianna กลายเป็นแชมป์อย่างต่อเนื่องของการแข่ง Gran Fondo
ระหว่างปี 1955 และ 1957 และได้รับความนิยมอย่างสูงในสมัยนั้น
Ducati Siluro
ในปี 1956 Ducati ได้ผลิตรถรุ่น 100 Sport ซึ่งเป็นครั้งแรกที่รถรุ่นนี้สามารถทำลายสถิติโลก 46 รายการภายในวันเดียว
125 Desmo.3
          ยังไม่พอในปีเดียวกันเครื่องยนต์ desmodromic ได้ถูกนำมาใช้ครั้งแรกบนรถDucati : 125 Gran Prix.  วิ่งได้ 12,500 รอบ/นาที ซึ่งเป็นนวัตกรรมใหม่ที่นำมาซึ่งการแก้ไขปัญหาวาวล์ลอยตัวที่รอบสูงในเครื่องยนต์ที่ใช้สำหรับการแข่งขัน ในตอนนั้น ระหว่างปี 1955-1956 ผู้ที่เป็นนักแข่งให้กับดูคาติ คือ “Gianni Degli Antoni”  เค้าเป็นแชมป์มากมายหลายรายการ ในปี 1956 Ducati ได้เปิดตัวรถรุ่น Desmo 125 GP เป็นครั้งแรก
125 Desmo.2
          ในภาพถ่ายจะเห็น Fabio Taglioni ถ่ายคู่กับผลงานตัวเอง 125 Desmo และกลุ่มช่างเทคนิค และวิศวกรของดูคาติ
( The adoption of the system Desmodromic engine monocilidrici racing Ducati marked the turning point for the Borgo Panigale. In ‘image we see the 125 Desmo with Fabio Taglioni surrounded by mechanics Recchia, Mazza, Alberto Farnè and the chief engineer Loli.)
          ในช่วงท้ายปี ค.ศ.1956 ได้พัฒนารถ Ducati 175 รุ่น 4 จังหวะ สำหรับท่องเที่ยว และกีฬาให้มีความพิเศษมากขึ้น สามารถเพิ่มความเร็วได้ 110-120-135 km/h และได้ทำการเปิดตัวพร้อมกันกับมอเตอร์ไซด์รุ่น “Ameirca” ที่มิลาน ในปี ค.ศ. 1957
Ducati anni 50
ภาพถ่ายโรงงานผลิตของดูคาติในช่วงปี 1950 ซึ่งเป็นช่วงที่ประสบความสำเร็จเป็นอย่างมาก
          ในระหว่างปี 1958 ทางดูคาติได้พยายามผลิตมอเตอร์รุ่น Elite 200 cc ออกมา ซึ่งรุ่นนี้วิศวกร  Fabio Taglioni ยังคงใช้ระบบ Desmodromic ที่ตัวเองพัฒนามาตั้งแต่ปี 1955  และพัฒนาจากรุ่น Marianna ที่ได้รับความนิยมมาก แต่โชคร้ายในช่วงน้้นเกิดวิกฤตเศรษฐกิจในอิตาลีพอดีทำให้ตลาดการขายมอเตอร์ไบด์ประสบปัญหาไปด้วย ทำให้ในปี 1965 ถึงจะได้ออกขายมอเตอร์รุ่นนี้เป็นครั้งแรก  จากโครงการนึ้เองทำให้ ในช่วงปี 60 บริษัท Ducati กลายเป็นบริษัทแรกในประวัติศาสตร์ที่สามารถสร้างรถจักรยานยนต์รุ่น 250 cc ซึ่งนับว่าเร็วที่สุดในยุคนั้น  และในปี 1960 นักแข่งรถผู้มีชื่อเสียงชาวอังกฤษ  Mike HailwoodTM  ได้ขึ้นชื่อว่า  “superior” ชนะการแข่งเสมอ ได้สั่งทำรถกับดูคาติที่มีชื่อว่า 250 Twin-Cylinder Desmo
Desmo 1958
Mike Hailwood
โฉมหน้าของนักแข่งรถหนุ่มชาวอังกฤษ Mike Hailwood™ ที่ชนะการแข่งในปี 1960
250 Twin Cylinde Desmoรถ 250 Twin-Cylinder Desmo ที่บริษัทดูคาติ ทำขึ้นเพื่อ  Mike Hailwood™
Elite 200
          ตั้งแต่ปี 1960 ที่ประเทศอิตาลีประสบปัญหาทางเศรษฐกิจส่งผลทำให้ยอดขายมอเตอร์ไบด์ลดลงอย่างแต่เนื่อง  ประกอบกับในขณะนั้นเริ่มมีการผลิตรถยนต์ออกขายเป็นครั้งแรกของ Fiat 500 ทำให้ตลาดมอเตอร์ไบด์ไม่ได้รับความนิยมเหมือนเดิม ทำให้บริษัทที่ผลิตมอเตอร์ไบด์สำหรับแข่งปิดกิจการลงหลายบริษัทรวมทั้ง  Gilera, Moto Guzzi และ  Mondial   ดังนั้นบริษัทดูคาติ จึงหันไปจับตลาดต่างประเทศแทน ต่อมาในปี 1963 ก็พัฒนา Ducati Apollo 1260 ซึ่งเน้นตลาดผู้ใช้ชาวอเมริกันเป็นหลัก
Apollo 1963
Ducati Apollo กับผู้นำเข้าชาวอเมริกัน  Joe Berliner ในปี 1963
first Scarmbler 250 in 1962
ในปี 1962 ผลิต Ducati Scrambler 250 เพื่อขายให้กับชาวอเมริกันเท่านั้น
Ducati Scrambler in Italy 1968
ในปี 1968 ผลิต Ducati Scrambler แต่ขายในเฉพาะอิตาลีเท่านั้น
Ducati Power
ภาพจากโฆษณาที่มีชื่อว่า “Ducati Power” ที่เห็น Ducati Scrambler
ในสมัยนั้นฮิตในหมู่วัยรุ่นเป็นอย่างมาก ในบ้านเราคงเรียกว่า “พวกฮิปปี้”
Ducati 250 Mach 1.2
และในปี 1965 ได้ผลิตรุ่น Ducati 250 MACH 1 ออกสู่ตลาด
ที่มีความแตกต่างกัน 3 แบบตรงแฮนด์บังคับรถ
          ในปี 1967 บริษัทดูคาติ ตัดสินใจที่จะปฏิวัติเครื่องยนต์แนะนำระบบ Desmodromic ซึ่งก่อนหน้านั้นได้รับการใช้เฉพาะในรถที่ใช้แข่ง มีสองขนาดเครื่องยนต์ใหม่, displacements 350 และ 450cc ได้รับความนิยมใช้กันอย่างแพร่หลาย  ในช่วงครึ่งแรกของยุค 70 ถึงแม้ว่าจะไม่พิชิตการแข่งขันใดๆ แต่รถของดูคาติที่สามารถพัฒนาเครื่องยนต์ขนาด  250 cc  ให้วิ่งเกินกว่าความสามารถในการเกณฑ์ 150 กิโลเมตร / ชั่วโมง ก็สามารถครองหัวใจของผู้ที่ชื่นชอบความเร็วได้อย่างมาก ในช่วงปีนี้ดูคาติได้นำรถตระกูล Mark 3D ออกจำหน่าย ซึ่งได้แก่ 250 Mark 3D, 350 Mark 3D และ 450 Mark 3D
Ducati Mark 3D
          ในช่วงท้ายของปี 1969 ยังมีการแข่งขันของตลาดรถมอเตอร์ไบด์กันมากขึ้นและยังมีการนำเข้ารถญี่ปุ่นมาขายในยุโรปมากขึ้น รวมทั้งในอิตาลีด้วย  ถือเป็นอีกคู่แข่งที่สำคัญของดูคาติก็ว่าได้
Ducati a Borgo Panigale anni60
          ภาพถ่ายโรงงานของดูคาติที่เมืองโบโลญญ่าในช่วงปี 60
          นอกจากนี้ในช่วง ปี 1967-1978 บริษัทดูคาติได้ เปลี่ยนผู้บริหารเป็นกลุ่ม EFIM (Ente Partecipazioni e Finanziamento Industrie Manifatturiere หรือ กลุ่มเงินทุนเพื่ออุตสาหกรรมการผลิต) ซึ่งควบคุมการดำเนินการผลิตวันต่อวัน โดยที่ในปี 1967 — 1973 จะทำการบริหารโดย Mr. Giuseppe Montano และ ในปี 1973-1978 บริหารโดย Mr. Cristiano de Eccher
           ซึ่งในช่วงปี 70 บริษัทก็เริ่มสายการผลิตรถจักรยานยนต์ L-Twin เช่นรุ่น 90 L-twin
500 GP
ส่่วนของตัวรถจะทำเป็นรูปตัว  L ระบบ  twin-cylinder engine (L-Twin) ออกแบบโดย Fabio Taglioni
 Ducati  500 GP เครื่องยนต์ไม่ได้ใช้ระบบ Desmodromic system แล้ว และรุ่นนึ้ใช้ในการแข่งขัน
500 GP.4
Ducati 500 GP ในการแข่งขันรุ่น  500cc World Championship ปี 1971
และในการแข่งขัน Mototemporada Romagnola ที่เมือง Rimini, Riccione, Cesenatico และ Modena
750 GT in 1970
ฤดูในไม้ร่วงในปี 1970 ได้เปิดตัว Ducati  750 GT  ซึ่งได้ทำการพัฒนามาจากระบบ  L-twin
โดยพัฒนาเครื่องยนต์เป็นระบบ 90° L-twin เพื่อใช้สำหรับขับขี่บนท้องถนนได้
750 Imola
          ในปี 1972 ดูคาติได้ผลิต  รถแข่งรุ่น Ducati 750 Imola Desmo เป็นรถแข่งอีกรุ่นหนึ่งที่มีชื่อเสียงไปทั่วโลก เพราะนักแข่งรถที่รู้จักกันดีคือ  Paul Smart และ  Bruno Spaggiari ได้ใช้รถรุ่นนี้ชนะการแข่งขันใน   ”200 Mile race” ที่เมือง  Imola ในปี 1972 นั่นเอง ทำให้รถรุ่นนี้เป็นที่จดจำในประวัติศาสตร์
 750 Imola.2
ในภาพจากด้านซ้ายคือ  Bruno Spaggiari รองชนะเลิศ, Fabio Taglioni  วิศวกรของดูคาติ
และ Paul Smart  ที่ชนะเลิศในการแข่งขันครั้งนี้
          และในเดือนพฤศจิกายน ปี 1973  ก็ได้เปิดตัว L-twin ที่มาพร้อมวาล์ว Desmodromic เป็นรายแรก Ducati  750 SS Desmo ที่เมืองมิลาน ในงาน Milan Motorcycle Show  เป็นรถแข่งรุ่นที่พัฒนามาจากรถแข่งที่ประสบความสำเร็จคือ Ducati 750 Imola Desmo แต่ไม่รู้ทำไมรถรุ่นนี้ถึงมียอดการผลิตแค่ 401 คันเท่านั้น
750 SS.1
750 SS.3
ภาพของนักแข่งชาวอังกฤษ Cook Neilson กับ Ducati 750 SS Desmo
ที่ชนะการแข่งขันในรายการ  “Daytona 200-Miles”
          ในช่วงปี 1979 บริษัทได้เปิดตัวเครื่องยนต์ Pantha 500 ออกสู่ตลาด ออกแบบโดยดีไซน์เนอร์ Fabio Taglioni ซึ่งได้รับการพัฒนาต่อมาเป็น Ducati Super Sport (SS) Series ในช่วงปี 90 และเครื่องยนต์ Ducati รุ่นใหม่ๆ ก็ได้รับการพัฒนามาจากเครื่องยนต์รุ่น Pantha นี้




  Ducati ได้พัฒนามาโดยตลอด และนี่ก็คือ Ducati ที่เป็นรุ่นปัจจุบัน 

ประวัติรถ Big Bike

 ประวัติ Big Bike





Bigbike คือคำที่ใช้เรียกรถมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดใหญ่กว่ารถมอเตอร์ไซค์ทั่วๆไปหรือที่เรียกกันจนติดปากว่า สี่สูบ ขนาดของมอเตอร์ไซค์ที่มีขนาดใหญ่ในที่นี้คือขนาดของเครื่องยนต์ เฟรม ล้อและยางของรถ รถที่เรียกว่าBigbikeจะมีความจุของเครื่องยนต์ตั้งแต่ 250 cc ขึ้นไปจนถึง 2400 cc ซึ่งในแต่ละรุ่นแต่ละยี่ห้อก็จะมีรูปแบบของเครื่องยนต์และระบบส่งกำลังที่แตกต่างกันออกไปซึ่งจะมีตั้งแต่สูบเดี่ยว ถึง สูบ และจัดวางอยู่ในรูปแบบของสูบเรียงและสูบในส่วนระบบส่งกำลังก็จะมีตั้งแต่ระบบที่ใช้โซ่ ใช้เพลาขับ และใช้สายพาน เป็นต้น
Naked Bike เป็นชื่อที่ใช้เรียกรถ Bigbike ที่มีรูปแบบเป็นรถเปลือยแฟริ่งในส่วนด้านหน้า จะมีแฟริ่งในส่วนด้านท้ายของรถเท่านั้น ข้อดีของรถประเภทนี้คือสามารถใช้ขับขี่ในเขตชุมชนที่มีการจราจรค่อนข้างหนาแน่นได้ง่ายและสามารถระบายความร้อนออกจากเครื่องยนต์ได้ดีกว่ารถBigbikeประเภทอื่นๆ และยังมีการออกแบบให้มีท่วงท่าในการขับขี่ที่ไม่ต้องก้มหรือโน้มตัวไปข้างหน้าเพื่อจับแฮนด์มากนัก โดยมีการออกแบบให้แฮนด์อยู่ในตำแหน่งที่ค่อนข้างสูงและมีเบาะที่ต่ำกว่ารถSport Bike
Sport Bike คือรถBigbikeที่มีการออกแบบมาเพื่อใช้ในการแข่งขันทางเรียบเนื่องจากรถประเภทนี้จะมีสมรรถนะของเครื่องยนต์และช่วงล่างสูงมากกว่ารถBigbikeประเภทอื่นๆ ซึ่งรถประเภทนี้มีท่วงท่าในการขับขี่แบบกึ่งนั่งกึ่งหมอบเพื่อให้ผู้ขับขี่สามารถควบคุมและทรงตัวในการใช้ความเร็วสูงๆและควบคุมอาการของรถในการเข้าโค้งได้เต็มประสิทธิภาพ
TouringBike คือรถBigbikeประเภทหนึ่งที่ออกแบบมาสำหรับใช้ในการเดินทางหรือท่องเที่ยวที่มีระยะทางไกลๆและใช้เวลาในการขับขี่ค่อนข้างนานโดยเฉพาะ ซึ่งรถประเภทนี้จะมีรูปทรงคล้ายกับรถ Sport Bike แต่จะมีตำแหน่งของแฮนด์ที่สูงกว่ารถSport Bike ท่าทางในการขับขี่จะคล้ายกับการขี่รถNaked Bike และรถ Touring Bikeนี้จะมีชิวล์ที่มีขนาดใหญ่เพื่อใช้บังลมและฝนที่จะเข้ามาปะทะผู้ขับขี่ในตอนที่ใช้ความเร็วสูงๆหรือขณะมีฝนตก
ชอปเปอร์ (อังกฤษ: chopper) คือรถBigbikeประเภทหนึ่ง เพราะเสียงของเครื่องยนต์ของรถประเภทนี้มีเสียงดังเป็นจังหวะๆ คล้ายเสียงของเฮลิคอปเตอร์นั่นเอง สาเหตุที่เสียงของรถ Chopper Bikeมีเสียงดังเป็นจังหวะอย่างที่เคยได้ยินเพราะรถประเภทนี้มี 2สูบวางอยู่เป็นรูปตัว และยังมีการจุดระเบิดพร้อมๆกัน จึงมีช่วงขอบเสียงเครื่องยนต์ดังเป็นจังหวะดังกล่าว รถประเภทนี้จะมีการออกแบบให้มีเบาะอยู่ต่ำกว่ารถ Bigbikeประเภทอื่น และมีตำแหน่งของแฮนด์ที่สูงอยู่ในระดับไหล่ผู้ขับขี่หรืออาจจะสูงกว่าแล้วแต่ผู้ขับขี่จะเลือกมาใส่

ประวัติรถ Kawasaki

  หากเอ่ยถึงยี่ห้อของรถมอเตอร์ไซค์วิบากที่มีชื่อเสียงในบ้านเรา คงจะไม่มีใครไม่รู้จักรถมอเตอร์ไซค์ ยี่ห้อ คาวาซากิ (Kawasaki) เพราะบริษัทผู้ผลิตรถมอเตอร์ไซค์ยี่ห้อนี้ ได้เข้ามาทำตลาดในบ้านเราอย่างกว้างขวางและช้านาน ไม่ว่าจะเป็น มอเตอร์ไซค์ขับขี่ทั่วไป มอเตอร์ไซค์บิ๊กไบค์ มอเตอร์ไซค์วิบาก หรือแม้แต่เครื่องยนต์กลไกอื่นๆอีก เป็นต้น
        วันนี้เราจะมาแนะนำให้รู้จักกับประวัติ ที่มาที่ไป การก่อตั้งบริษัทรถมอเตอร์ไซค์ ยี่ห้อ Kawasaki กันครับ
        1878 Shozo Kawasaki ผู้ก่อตั้งทำการเปิดอู่ต่อเรือ Kawasaki Tsukijiที่ทำการต่อเรือเดินสมุทรเหล็กกล้าแบบตะวันตก ในกรุงโตเกียวในปี 1886 ขอบเขตของกิจการได้ขยายจนก่อตั้งเป็นบริษัทอู่ต่อเรือ Kawasaki ในเมืองโกเบ
kawasaki_logo4
         ผู้ก่อตั้งบริษัทรถมอเตอร์ไซค์ ยี่ห้อ Kawasaki,Shozo Kawasaki ที่มาของคาวาซากินั้นนับย้อนกลับไปในปี ค.ศ. 1876, เมื่อ Shozo Kawasaki ได้ก่อตั้งอู่ต่อเรือ Kawasaki Tsukiji ในกรุงโตเกียว หลังจากนั้น 18 ปี ในปี ค.ศ.1896, ก็ได้พัฒนาขึ้นเป็นบริษัทอู่ต่อเรือ Kawasaki จำกัด 
        Shozo Kawasaki เกิดในเมือง Kagoshima เป็นตระกูลพ่อค้ากิโมโนและกลายมาเป็นพ่อค้ารายย่อย ในช่วงอายุ 17 ในเมือง Nagasaki ซึ่งเป็นเมืองเดียวของญี่ปุ่นที่เปิดติดต่อกับทางตะวันตก เขาได้เริ่มธุรกิจการขนส่งทางเรือในเมือง Osaka เมื่ออายุได้ 27 ซึ่งเกิดการผิดพลาดขึ้นเมื่อเรือสินค้าของเขาเกิดจมลงในพายุ ในปี 1869 
        เขาได้เข้าร่วมบริษัทที่ดำเนินการเกี่ยวกับการค้าน้ำตาลจากเมือง Ryukyu ( ในประจุบันคืออำเภอในเมือง Okinawa ) ซึ่งก่อตั้งโดยตระกูลซามูไรแห่ง Kagoshima และในปี1893 ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับน้ำตาลพันธ์ Ryukyu รวมทั้งเส้นทางเดินเรือ ตามคำสั่งของรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งในปี1894 ได้รับแต่งตั้งให้เป็นรองประธานฝ่ายบริหารของบริษัทขนส่งMailSteam-Powered แห่งญี่ปุ่นและประสบความสำเร็จในการเปิดเส้นทางเดินเรือไปยัง Ryukyu และการขนส่งน้ำตาลไปยังญี่ปุ่นแผ่นดินใหญ่
moymTS
        ประโยชน์จากการที่มีประสบการณ์จาก อุบัติเหตุทางทะเลหลายๆครั้งในชีวิต ทำให้ Kawasaki เกิดรู้สึกไว้ใจต่อเรือของตะวันตกอย่างยิ่งเพราะเรือเหล่านั้น มีเนื้อที่กว้างขวาง,มั่นคงและรวดเร็วมากกว่าเรือญี่ปุ่นทั่วไป และเขาก็ยังสนใจในอุตสาหกรรมต่อเรือสมัยใหม่ ทำให้ใน เดือนเมษายน ปี 1878 โดยการสนับสนุนของ Masayoshi Matsukata ผู้ช่วยรัฐมนตรีว่าการกระทรวงการคลัง ซึ่งมาจากจังหวัดเดียวกันกับ Kawasaki ได้ก่อตั้งอู่ต่อเรือ Kawasaki Tsukiji โดยการยืมพื้นที่จากรัฐบาลใน แถบแม่น้ำ Sumidagawa,Tsukiji Minami-Iizaka-cho(ปัจจุบันTsukiji 7-chome,Chuo-ku,) กรุงโตเกียว ที่เป็นก้าวสำคัญของการเป็นนักต่อเรือ
         1896 บริษัทอู่ต่อเรือ Kawasaki จำกัดอยู่ในรูปของบริษัท โดยมี Kojiro Matsukata ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคนแรก ของบริษัทใหม่นี้
Wx0FJr
          ประธานคนแรกบริษัทรถมอเตอร์ไซค์ ยี่ห้อ Kawasaki ,Kojiro Matsukata ในปี 1894 เจ็ดปีหลังจากการก่อตั้งของบริษัทต่อเรือ Kawasaki สงคราม Sino-Japanese ได้เริ่มขึ้น และอุตสาหกรรมการต่อเรือในญี่ปุ่นก็ได้รับผลจากเหตุการณ์นั้น ซึ่ง Kawasaki ได้รับงานการซ่อมเรือด่วนอย่าง มากมาย เมื่อได้ตระหนักถึงข้อจำกัดของการจัดการโดยบุคคล ทำให้ Kawasaki ตัดสินในนำบริษัทเข้าสู่มหาชนทันที หลังสงครามสิ้นสุดลง ซึ่งต่อมาเมื่อย่างเข้าวัย 60 เมื่อไม่มีบุตรชายที่มีอายุมากพอที่จะรับช่วงต่อ Kawasaki จึงเลือก Kojiro Matsukata บุตรชายคนที่สามของผู้มีพระคุณต่อธุรกิจของเขา ที่ชื่อ Masayoshi Matsukata เป็นผู้รับช่วงต่อไป
          Kojiro Matsukata เกิดที่อำเภอ Satsuma (ในปัจจุบันคืออำเภอในเมือง Kagoshima) ในปี 1865 กลายมาเป็นเลขาฯของนายกรัฐมนตรีญี่ปุ่น 
          ระหว่างการบริหารงานของบิดาในช่วงปี 1891 และปี 1892 ในปี 1896 Matsukata ได้รับแต่งตั้งให้เป็นประธานคนแรกของบริษัทอู่ต่อเรือ Kawasaki จำกัด และอยู่ในตำแหน่งเป็นเวลา 32 ปี จนถึงปี 1928 โดยการขยายธุรกิจในด้านรถไฟบรรทุกสินค้า, อากาศยาน การขนส่งทางทะเล และนำระบบ 8 ชั่วโมงต่อวันมาใช้ในญี่ปุ่นเป็นเจ้าแรกรวมทั้งวิธีอื่นๆ เขาได้บำรุงและทำให้ Kawasaki เติบโตเป็นบริษัทผู้นำทางด้าน อุตสาหกรรมหนังของประเทศญี่ปุ่น Matsukata เป็นที่รู้จักกันดีในฐานะผู้สะสมงานศิลป์พิพิธพันธ์แห่งชาติทางศิลปะตะวันตกในกรุงโตเกียวได้สร้าง จากของสะสมส่วนตัวของ Matsukata รวมทั้งพิพิธพันธ์แห่งชาติโตเกียวได้เก็บของสะสมของเขา คือ ภาพพิมพ์ Ukiyoe
          เรือโดยสาร-ขนสินค้า Iyomaru ในปี 1897 อู่ต่อเรือ Kawasaki ได้ต่อเรือโดยสาร-สินค้า Iyomaru (727 ตันกรอส) เรือลำแรก หลังจากที่กลายมาเป็นบริษัทการค้าสาธารณะ ระหว่าง 10 ปีของการจัดการโดยบุคคลระหว่างปี1886 จนถึงปี1896 บริษัทก็ได้ต่อเรือใหม่อีก 80 ลำรวมถึงเรือเหล็กกล้า 6 ลำ เช่นเรือ Tamamaru (ขนาดประมาณ 570 ตันกรอส) ตั้งแต่เรือเหล็กเกล้าลำแรกได้ถูกต่อขึ้นในญี่ปุ่น ในปี1890 วัสดุในการต่อเรือได้พัฒนาปรับเปลี่ยนจากเหล็กเป็น เหล็กกล้า 
การเริ่มต้นของอู่ต่อเรือ Kawasaki จึงถือว่าเป้นการเริ่มต้นของอุตสาหกรรมต่อเรือแบบทันสมัยของญี่ปุ่น
           การสร้างอู่ต่อเรือแห้ง 1902 เรือ Mikawamaru ของ Nippon Yusen Kabushiki Kaisha (NYK Line) ได้เข้าใช้บริการอู่แห้งซึ่งเป็นเรือลำแรกที่ถูกซ่อมทำในอู่ Shozo Kawasaki ได้ตระหนักอย่างแรงกล้าว่าอู่เรือของบริษัทมีความต้องการอย่างมากในการเพิ่มขีดความ สามารถนับตั้งแต่ที่อู่ต่อเรือ Kawasaki ได้ถูกสร้างขึ้นที่เมืองโกเบ อำเภอ Hyogo เขาจึงได้วางแผนสร้างอู่แห้ง โดยการบำรุงพื้นที่ใกล้ๆกับอู่เรือ โดยในปี 1892 การสำรวจพื้นที่ได้เริ่มขึ้นและปี 1895 การทดลองเจาะก็เกิดขึ้น หลังจาก ได้ควบเป็นบริษัทต่อเรือKawasaki ,Kojiro Matsukata ก็ได้ดำเนินการตามแผน
           งานก่อสร้างประสบอุปสรรคเนื่องจากโครงสร้างที่อ่อนแอมากๆของทำเลที่ตั้งบนแม่น้ำMinatogawa River delta หลังจากลองผิดลองถูก เทคนิคใหม่ๆได้ถูกนำมาใช้เพื่อเสริมความแข็งแกร่งของฐานรากใต้น้ำ โดยการเท คอนกรีต หลังจากนั้นหกปีในปี1902 อู่แห้งก็สร้างสำเร็จโดยเสียค่าใช้จ่ายและเวลามากกว่าการก่อสร้างอู่ ภายใต้ เงื่อนไขปกติถึง 3 เท่าอู่แห้ง ขนาดของอู่แห้ง ยาว 130 เมตร,กว้าง 15.7 เมตร,ลึก 5.5 เมตร ขนาดระวางขับน้ำของเรือที่เข้าใช้สูงสุดที่ 6,000 ตันกรอส(ปันจุบันเป็นอู่หมายเลข 1,อู่เรือโกเบ) ถูกบันทึกให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ลงทะเบียนเป็นรูปธรรม ของญี่ปุ่นในปี 1998
           << 1999 – อู่หมายเลข 1 , อู่เรือโกเบ
           << ใบรับรองอู่ให้เป็นสมบัติทางวัฒนธรรมที่ลงทะเบียนเป็นรูปธรรม
1906 โรงงาน Hyogo แห่งใหม่ได้เริ่มประดิษฐ์หัวรถจักร, รถบรรทุกผู้โดยสารและสินค้า และคานสะพาน ซึ่งก็เป็นปีที่ Kawasaki เริ่มผลิตภัณฑ์ประเภทเครื่องจักรไอน้ำแบบใช้ในเรือที่อู่ด้วย
           เรือดำน้ำลำแรกของญี่ปุ่น เรือดำน้ำหมายเลข 6 และ 7 แบบฮอล์แลนด์ ในการตรวจสอบในอู่แห้ง
กองทัพเรือญี่ปุ่นเริ่มคิดที่จะนำเรือดำน้ำเข้ามาในปี1901 และได้ตัดสินใจที่จะจัดตั้งกองเรือดำน้ำขึ้นทันทีหลัง จากสงคราม Russo-Japanese เริ่มต้นขึ้นและในปี 1904 เรือดำน้ำฮอล์แลนด์ 5 แบบ, เรือดำน้ำหมายเลข 1 ถึง 5 นำเข้าจากสหรัฐอเมริกา
           ในเวลาเดียวกันนั้นกองทัพเรือตัดสินใจที่จะสร้างเรือดำน้ำขึ้นภายในประเทศญี่ปุ่น ในปี1904 ได้มีการสั่งงาน ต่อเรือสองลำแรกต่อ Kawasaki ถึงแม้ว่ากองทัพเรือได้จัดแผนที่ทำขึ้นโดย J. P. Holland ผู้ออกแบบ เรือดำน้ำแบบฮอล์แลนด์แต่รายละเอียดหลงอยู่ในบริษัท Kawasaki อุทิศกำลังทั้งหมดเพื่อต่อเรือดำน้ำที่จะบรรลุ ความคาดหวังของกองทัพเรือ และแสดงขีดความสามารถในฐานะผู้ต่อเรือต่อโลก ได้ทำการเชื้อเชิญวิศวกรจากสหรัฐ พร้อมทั้งทำการวิจัยต่อในปัญหาหลังจากได้ทำการวางกระดูกงู ในปี 
            1906 หลังจากฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ Kawasaki ก็สามารถส่งมอบเรือดำน้ำสองลำแรกที่สร้างภายในประเทศญี่ปุ่นแก่กองทัพเรือได้สำเร็จ เรือดำน้ำหมายเลข 6 และ 7
           หัวรถจักรโดย Kawasaki คันแรก ในปี 1872 หัวรถจักรไอน้ำโดยสหราชอาณาจักรได้ออกวิ่งในครั้งแรกบนรางรถไฟญี่ปุ่นสายแรกระหว่างเมือง Shinagawa และเมือง Yokohama Kawasaki ได้เริ่มผลิตรถไฟบรรทุกสินค้าในปี1907 และ 4 ปีหลังจาก นั้น ได้ผลิตหัวรถจักรไอน้ำคันแรก, หัวรถจักรแบบตามประมูล (2B แบบไอน้ำ, เบอร์ 6700-6704), สำหรับ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงการรถไฟ โดยประสิทธิภาพเป็นที่ยอมรับอย่างสูงและรัฐมนตรีได้ชื่นชมบริษัทฯว่าหัวรถจักร นั้นทำได้ดีกว่าที่ผลิตจากต่างประเทศ Kawasaki ได้ผลิตทั้งหมด 3,237 หัวรถจักรจนกระทั้งปี 1971 ซึ่งเป็น การสนับสนุนอันยิ่งใหญ่แก่ การพัฒานาการรถไฟในประเทศญี่ปุ่น
           1918 แผนกอากาศยานที่โรงงาน Hyogo, 15 ปีเล็กน้อยหลังจากที่เที่ยวบินประวัติศาสตร์ของพี่น้องตระกูลไรท ์ เมื่อเครื่อง บินยังคงต่อจากไม้และผ้าทอและยังสามารถเดินทางได้ในระยะทางสั้น
           ในปี 1922 บริษัทได้เริ่มผลิตอากาศยานและต่ออากาศยานแบบใหม่ Kawasaki ได้ทำการผลิตอากาศยานโลหะลำแรกของญี่ปุ่นซึ่งเป็นต้นแบบของการคิดค้นเทคโนโลยีสำหรับปัจจุบัน
            1919 แผนกเรือบรรทุกได้ขยายตัวกลายเป็นรูปบริษัท Kawasaki Kisen Kaisya จำกัด (K-line)
            1928 โรงงาน Hyogo ขยายตัวกลายเป็นรูปบริษัท Kawasaki ผลิตรถไฟบรรทุกสินค้าจำกัด
            1937 แผนกอากาศยานขยายตัวกลายเป็นบริษัท Kawasaki อากาศยานจำกัด
            1950 แผนกผลิตเหล็กกล้าได้ขยายตัวแล้วรวมตัวเป็นบริษัท Kawasaki เหล็กกล้า เมื่อบริษัทได้ขยายตัวขึ้น แผนกรถไฟ บรรทุก สินค้า, อากาศยานและ ผลิตเหล็กกล้าก็กระจายตัว เพื่อปูทางสำหรับการเจริญเติบโตที่มั่นคงในแต่ ละ ด้านงานการต่อเรือ,รถไฟบรรทุกสินค้า,อากาศยาน,เครื่องจักรก่อสร้าง และอุตสาหการ และธุรกิจสิ่งก่อ สร้าง เหล็กกล้า ได้มี บทบาทสำคัญใน การฟื้นตัวและการขยายเศรษฐกิจช่วงหลังสงคราม ซึ่งบริษัทประสบความ สำเร็จ อย่าง มหาศาล จนกระ ทั่ง ประเทศญี่ปุ่นได ้จับตามมองว่าบริษัทจะกลายมาเป็น บริษัทผู้นำของโลกด้าน อุตสาหกรรม

ประวัติรถ Honda

                       ประวัติรถ Honda

ฮอนด้า มอเตอร์ (Honda Motor) (ญี่ปุ่น: 本田技研工業株式会社 Honda Giken Kōgyō Kabushiki-gaisha ?) เป็นบริษัทผลิตรถยนต์จากประเทศญี่ปุ่น โดยมีผลิตภัณฑ์ รถยนต์ รถบรรทุก จักรยานยนต์ และเครื่องจักรอุตสาหกรรมหนักอีกหลายประเภท ฮอนด้ามีสำนักงานใหญ่อยู่ที่กรุงโตเกียว ประเทศญี่ปุ่น
กำเนิดขึ้น
ฮอนด้า ก่อตั้งเมื่อ 24 กันยายน พ.ศ. 2491 โดยนายโซอิจิโร่ ฮอนดะ เริ่มรุกตลาดโลกโดยการผลิตจักรยานยนต์ ฮอนด้าเริ่มประสบความสำเร็จจากรถยนต์รุ่นที่มีชื่อว่า ฮอนด้า ซีวิค โดยเริ่มออกขายในปี พ.ศ. 2515 และ ฮอนด้า แอคคอร์ด ในปี พ.ศ. 2519 ต่อมาในปี พ.ศ. 2529 ฮอนด้า ได้ไปเปิดรถยี่ห้อใหม่ในสหรัฐอเมริกา คือ แอคิวร่า ซึ่งเป็นยี่ห้อรถญี่ปุ่นรายแรกที่ไปเปิดรถยี่ห้อใหม่ในอเมริกา
Honda Thailand
ฮอนด้า ประเทศไทย ก่อตั้งในปี พ.ศ. 2526 โดยมีการผลิตรถยนต์ รถจักรยานยนต์ เช่นเดียวกับทั่วโลก โดยบริษัทฮอนด้าที่เกี่ยวกับรถยนต์ฮอนด้า ใช้ชื่อว่า “บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล (ประเทศไทย) จำกัด” หรือชื่อเดิม “บริษัท ฮอนด้าคาร์ส์ (ประเทศไทย) จำกัด” ส่วนรถจักรยานยนต์ใช้ชื่อว่า “บริษัท เอ.พี.ฮอนด้า จำกัด
ประวัติ Honda Thailand
บริษัท ฮอนด้า ออโตโมบิล(ประเทศไทย)จำกัด เริ่มดำเนินธุรกิจในประเทศไทยเมื่อปี พ.ศ. 2526 ซึ่งนับเป็นผู้ผลิตรถยนต์ ที่เข้ามาดำเนินธุรกิจในธุรกิจอุตสาหกรรมยานยนต์ไทยรายหลังๆ โดยมีอายุเพียงสองทศวรรษ ปัจจุบันฮอนด้านับเป็นหนึ่งในผู้ผลิตรถยนต์นั่ง รายใหญ่ที่สุดของประเทศ มีการเติบโตของยอดจำหน่ายที่รวดเร็วโดยยอดจำหน่ายตั้งแต่เริ่มดำเนินการจนถึงปี พ.ศ. 2549 รวมกว่า 640,000 คัน
ด้วยความมุ่งมั่นในการให้ความพึงพอใจสูงสุดให้แก่ลูกค้า ปัจจุบันมีผู้จำหน่ายรวม 123 แห่งกระจายอยู่ทั่วประเทศแถบทุกจังหวัด เพื่อให้ครอบคลุมการให้ บริการลูกค้าอย่างทั่วถึงสอดคล้องกับความต้องการของตลาดและความนิยมที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็วของผู้บริโภค
นอกเหนือจากการผลิตรถยนต์นั่งเพื่อจำหน่ายภายในประเทศ ฮอนด้ายังเห็นความสำคัญในการใช้เป็นฐานในการผลิตรถยนต์นั่งเพื่อส่งออกไปยังประเทศ ต่างๆ ในแถบภูมิภาคนี้ อันเป็นการสร้างรายได้เข้าสู่ประเทศอีกทางหนึ่งด้วย ซึ่งมีมูลค่าการส่งออกทั้งในรูปรถยนต์สำเร็จรูปและชิ้นส่วน 50,226 ล้านบาท ในปี พ.ศ. 2549
รุ่นรถยนต์ที่ผลิตหรือนำเข้าอยู่ในปัจจุบันในประเทศไทย
รถยนต์ 5 ประตูแฮทช์แบคขนาดเล็กมากประเภท Eco Car ฮอนด้า บริโอ (Honda Brio)
รถยนต์นั่งขนาดเล็กขนาดเล็กมากประเภท Eco Car ฮอนด้า บริโอ อเมซ (Honda Brio Amaze)
รถยนต์ 5 ประตูแฮทซ์แบคขนาดเล็กมาก ฮอนด้า แจ๊ส (Honda Jazz)
รถยนต์ 5ประตูแฮทช์แบคขนาดเล็กมาก เครื่องยนต์ไฮบริด ฮอนด้า แจ๊ส ไฮบริด (Honda Jazz Hybrid)
รถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก ฮอนด้า ซิตี้ (Honda City)
รถยนต์นั่งขนาดเล็กมาก รุ่นพลังงานทางเลือก ฮอนด้า ซิตี้ ซีเอ็นจี (Honda City CNG)
รถยนต์นั่งขนาดเล็ก ฮอนด้า ซีวิค (Honda Civic)
รถยนต์นั่งขนาดกลาง ฮอนด้า แอคคอร์ด (Honda Accord)
รถยนต์เอนกประสงค์ SUV ขนาดเล็ก ฮอนด้า ซีอาร์-วี (Honda CRV)
รถยนต์เอนกประสงค์ MPV ขนาดเล็กมาก ฮอนด้า ฟรีด (Honda Freed)
รถยนต์เอนกประสงค์ MPV ขนาดกลาง ฮอนด้า โอดิสซี (Honda Odyssey)
รถยนต์เอนกประสงค์ MPV ขนาดเล็กมาก ฮอนด้า สเตปวากอน สปาด้า (Honda Stepwgn Spada)
รถยนต์สปอร์ต 2 ประตูขนาดเล็ก เครื่องยนต์ไฮบริด ฮอนด้า CR-Z (Honda CR-Z)

รถยนต์นั่งประเภทหรูหราขนาดใหญ่ ฮอนด้า เลเจนด์ (Honda Legend)
รถยนต์เอนกประสงค์ MPV ขนาดเล็ก ฮอนด้า สตรีม (Honda Stream)
รถสปอร์ต 2 ประตูขนาดเล็ก ฮอนด้า พรีลูด (Honda Prelude)
รถสปอร์ต 2 ประตูขนาดเล็ก ฮอนด้า อินทีกรา (Honda Integra)
รถสปอร์ต 2 ประตูขนาดเล็ก ฮอนด้า S2000 (Honda S2000)
รถสปอร์ต 2 ประตูขนาดใหญ่ ฮอนด้า เอนเอสเอ็กซ์ Honda NSX
รถกระบะเพื่อการพาณิชย์ขนาด 1 ตัน ฮอนด้า ทัวร์มาสเตอร์ (Honda Tourmaster)

ประวัติผู้ก่อตั้งฮอนด้า

โซอิจิโร ฮอนด้า ผู้ ก่อตั้งฮอนด้ามอเตอร์ ได้รับการจารึกชื่อในทำเนียบ ปูชนียบุคคลยานยนต์โลก (automotive hall of fame) เมื่อ 10 ตค.ปี 2532………นับเป็ยชาวเอเซียคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้

ชีวิตในวัยเด็ก
Soichiro Honda เกิดที่ Yamahigashi เมื่อวันที่ 17 พฤศจิกายน คศ. 1906 เขาเป็น ลูกชายคนแรกของครอบครัว คุณพ่อของเขาชื่อ Gihei Honda สืบเชื้อสายมาจากชาวนา และได้เปิดร้านตีเหล็กเล็ก ๆ และรับซ่อมจักรยานด้วย โดยเฉพาะอย่างยิ่งมักจะซื้อจักรยานเก่ามาซ่อมขาย ซึ่งในสมัยนั้นคนญี่ปุ่นกำลังนิยมขี่จักรยานกันมาก คุณแม่ชื่อ Mika ก็ช่วยงานที่บ้านและเป็นแม่บ้าน
ครอบครัวของ Honda ยากจนมาก เขาช่วยครอบครัวทำงานมาตั้งแต่ตัวกระเปี๊ยก และเขาเริ่มคลั่งไคล้เรื่องยนต์กลไกมาตั้งแต่นั้น
“ชีวิตไม่คุ้มค่าที่จะอยู่หรอก ถ้าหกว่าไม่ทำสิ่งที่ตัวเองชอบที่สุด” นั่นคือปรัชญาชีวิตที่ฝังใจเขาตลอดมา
ห่าง จากบ้านของเขาไปหลายไมล์ มีโรงสีข้าวอยู่โรงหนึ่งที่ใช้เครื่องยนต์กับน้ำมันเบนซิน นับว่าเป็นของแปลกประหลาดมากในสมัยนั้น ปู่ของ Honda ได้ให้เขาขี่หลังไปที่นั่น เขาเฝ้าดูเครื่องยนต์เคลื่นไหวด้วยอาการหลงไหลและพิศวงถึงการทำงานของมัน
ปี พ.ศ.2457 ในขณะที่ Honda เรียนอยู่ชั้นประถมปีที่ 2 เด็กชาย Soichiro Honda ได้มีโอกาสเห็นเครื่องบินที่ ไนล์ สมิธ เป็นนักบิน ในเดือนถัดมาหนูน้อย Honda พยายามแต่งตัวให้เหมือนนักบินมากที่สุด โดยสวมหน้ากากนักบินที่เขาทำขึ้นเองจากกล่องกระดาษ และที่ชาวบ้านตกใจมากที่สุดก็คือ เขาขี่จักรยานติดใบพัดไม้ไผ่ที่ผุดขึ้นมาจากสมองน้อย ๆ ของเด็กชั้น ป.2

 เติบโตขึ้นเป็นผู้ใหญ่
ปี 1922 Soichiro Honda อายุ 15 ปี ก็ได้เดินทางมาโตเกียวเข้าทำงานในร้านซ่อมรถยนต์ ชื่อ Art Shokai เขาตื่นเต้นที่ได้เห็นรถยนต์วันละเป็นสิบๆ คัน ในโตเกียว ซึ่งที่หมู่บ้านของเขานั้นถ้าเดือนหนึ่งได้เห็นรถยนรต์สักคันหนึ่งก็นับว่า โชคดีแล้ว
แม้ ว่า Soichiro Honda จะได้เขาทำงานในอุ่ซ่อมรถก็จริงอยู่ แต่เขาไม่มีโอกาสทำงานที่เขารัก หน้าที่แรกของเขาคือต้องเลี้ยงลูกเจ้าของอู่ แต่เขาก็อดทนว่าสักวันหนึ่งเขาคงได้ทำงานที่เขารัก
เขาทนทำงานเลี้ยงเด็กอยู่หนึ่งเดือน ก็ได้รับหน้าที่ใหม่ให้ไปช่วยงานซ่อมเครื่องยนต์โดยเป็นลูกมือช่าง
ปี 1923 โตเกียวเกิดแผ่นดินไหวครั้งใหญ่ บ้านเรือนเสียหลายและไฟไหม้เป็นประวัติการณ์ บรรดาช่างี่อู่กลับบ้านกันหมด เหลืออยู่แต่ Honda กับช่างมีฝีมือคนหนึ่งเท่านั้น และในช่วงนี้เองทำให้เขาได้รับการฝึกฝนทางเครื่องยนต์อย่างเต็มที่
บังเอิญ เจ้าของอู่ซ่อมรถก็ชื่นชอบการแข่งรถ จึงได้ถ่ายทอดมาสู่ Honda ด้วย จนกระทั่งถึงปัจจุบันการแข่งรถกลายเป็นกิจกรรหนึ่งของ “ฮอนด้า มอเตอร์” ซึ่งรถแข่งของฮอนด้าอยู่ในอันดับนำของโลก
หนุ่มน้อย Honda ใช้เวลาว่างตอนกลางคืนสร้างรถแข่งคันแรก เขาใช้เครื่องยนต์เครื่องบินยี่ห้อ เคอร์ติสไร้ท์ ซึ่งใช้ในวงการทหาร เครื่องยนต์ วี 8 ขนาด 8 ลิตร ให้กำลังแรงสูงสุดเกือบ 100 แรงม้า มีความเร็ว 1,400 รอบต่อนาที นอกจากเครื่องยนต์แล้ว Honda ทำทุกอย่างด้วยตนเอง รวมทั้งส่วนประกอบต่าง ๆ และซี่ล้อไม้ เขาเข้าแข่งได้รับชัยชนะหลายครั้ง
หลัง จากทำงานกับ Art Shokai ได้ 6 ปี เจ้าของสนับสนุนให้ Honda เปิดบริษัทของตนเอง โดยอนุญาตให้ใช้ชื่อบริษัทได้ และให้เปิดที่จังหวัด Hamamatsu
นอก จากทุ่มกับงานประจำแล้ว Honda ใช้เวลาว่างในการพัฒนารถแข่ง ในการแข่งขันครั้งสำคัญคือ ออเจแปนสปีดแรลลี่ ที่ชานเมืองโตเกียวในเดือนกรกฎาคม ปี พ.ศ.2479 Hondaได้พัฒนารถจนทำความเร็วได้ถึงชั่วโมงละ 120 ไมล์ เกือบจะถึงเส้นชัยอยู่แล้วได้เกิดอุบัติเหตุขึ้นก่อน เขาบาดเจ็บสาหัสพร้อมกับน้องชายที่นั่งคู่กัน ถึงแม้ว่าจะไม่ได้ชัยชนะ แต่เขาได้รับรางวัลจากการทำสถิติความเร็ว

Honda Motor
” ถ้าการขึ้นไปถึงภูเขาไฟฟูจิเป็นเป้าหมายสูงสุด ทั้งฟูจิซาวะและผมก็มีเป้าหมายเดียวกัน” นั่นคือคำพูดของ Soichiro Honda กล่าวถึงการดำเนินงานครั้งแรกของ Honda Motor ที่เขาได้ Takeo Fujisawa มาร่วมกิจการด้วยกัน โดยเขารับงานทางฝ่ายพัฒาการผลิต ส่วน Fujisawa รับงานด้านการตลาด
ใน ขณะที่สงครามโลกครั้งที่ 2 กำลังใกล้จุดจบญี่ปุ่นได้ขาดแคลนน้ำมันอย่างหนัก ทางผู้นำทางทหารพยายามที่จะหาอะไรต่ออะไรมาทดแทนและสิ่งหนึ่งก็คือ จะเอาน้ำมันสนมาใช้กับเครื่องบิน ถึงกับเกณฑ์นักศึกษาเป็นพัน ๆ คนไปขุดรากสนแต่ไม่ได้ผลอะไร
เมื่อ สงครามโลกสงบโดยญี่ปุ่นเป็นฝ่ายปราชัย มีการแบ่งปันน้ำมันกัน Soichiro Honda ได้ลงทุนทำป่าสนและผลิตน้ำมันสนออกขาย แต่เขาวขาญเรื่องเครื่องยนต์มากกว่าจึงไม่ประสบความสำเร็จ
ใน เดือนตุลาคม1946 เขาได้ตั้งบริษัทสถาบันวิจัยทางวิชาการฮอนด้าที่ Hamamattsu โครงการแรกเอาเครื่องยนต์เล็ก ๆ ที่กองทัพญี่ปุ่นเคยใช้มาแล้วมาติดกับรถจักรยาน เครื่องยนต์เหล่านั้นราคาถูกเมื่อเอามาติดกับรถ 2 ล้อแล้วจึงขายได้ราคา เมื่อเครื่องยนต์หาซื้อไม่ได้แล้ว ฮอนด้าจึงเริ่มผลิตขึ้นเอง

รถจักรยานติดเครื่องยนต์เล็กนี้กลายเป็นที่นิยมกัน เพราะช่วงนั้นญี่ปุ่นขาดแคลนอาหารอย่างหนัก ผู้คนในเมืองใหญ่ ๆ ต้องเดือนทางไปซื้อพืชพันธุ์ในย่านเกษตรนอกตัวเมือง บริการรถไฟเพียงอย่างเดียวจึงไม่เพียงพอ ดังนั้นรถจักรยานติดเครื่องยนต์จึงเป็นที่ต้องการอย่างมาก บรรดาพ่อค้ารถวิ่งพุ่มมาที่โรงงานของเขา
Honda ขายรถของเขาได้ยังแถมขายน้ำมันสนของเขาได้อีกด้วย Honda จึงเห็นลู่ทางที่จะผลิตรถจักรยานยนต์ขึ้นมา แต่ เขาถนัดกับเครื่องยนต์กลไก ส่วนเรื่องการตลาดนั้นเขาจะต้องหาคู่ขามาร่วมมือด้วย เขาได้พบกัน Fujisawa เป็นครั้งแรก และที่นั่นเองทั้งสองก็จับมือร่วมธุรกิจด้วยกัน
onda ได้บอกกับ Fujisawa ว่า ที่เดือนทางมาโตเกียวเพื่อจะหาเงินทุนดำเนินกิจการโรงงานสร้างจักรยานยนต์ ของเขา Fujisawa ก็ตอบไปสั้น ๆ ว่า “ผมไม่มีเงินในตอนนี้แต่ผมจะหาเงินจำนวนที่คุณต้องการมาดำเนินงานได้”
หลังจากที่สนทนากันเพียงไม่กี่ประโยคและจากที่มีเป้าหมายเหมือนกัน Honda ตอนนั้นอายุ 42 ปี Fujisawa อายุ 38 ปี ก็ตกลงใจร่วมงานกัน และนั้นเป็นจุดเริ่มต้นเล็ก ๆ ซึ่งไม่มีใครคิดว่าจะยิ่งหญ่ในภายหลัง Fujisawa ได้บอกกับ Honda อีกว่า “ผมจะทำให้คุณอย่างนักธุรกิจ แต่เมื่อเราแยกกันผมจะไม่ให้มันจบลงด้วยการขาดทุน นี่ผมไม่ได้พูดแต่เพียงเรื่องเงินนะ ผมหมายความว่าเมื่อเราแยกกันผมหวังว่าจะได้รับความพอใจและความสำเร็จ”
ในวันนั้นทั้งสองพยายามคุยกันถึงอนาคตอันสวยหรู แต่อย่างไรก็ตามก่อนที่ Fujisawa จะมาร่วมงานนี้ Honda ได้ปรับปรุงบริษัทสถาบันวิจัยทางวิชาการฮนด้าของเขาเป็น Honda Motor แล้ว
ทั้ง Honda และ Fujisawa ต่างมีปัรัชญา การทำงานที่ถือว่าทุกคนเสมอภาคกันไม่ว่าประธานบริษัท หรือพนักงานซึ่งปฎิบัติตามบทบาทของตน เขาทั้งสองไม่เคยที่จะอ้างความเป็นเจ้าของบริษัทที่เขาก่อตั้งมา โดยย้ำอยู่เสมอว่าการใช้อำนาจและสิทธิขาด เพื่อบังคับให้พนักงานเห็ฯดีเห็นชอบความคิดของเขานั้นจะมีผลทำลายการทำงาน เป็นหมู่คณะที่เสมอภาคกัน

ทั้งสองเกษียณตัวเองเมื่ออยู่ในวัยที่ตนเห็นว่าไม่เหมาะบริหารงาน ทั้ง สองไม่ได้มอบบริษัทให้ทายาทของตนดำเนินงานต่อ เพราะเขาถือว่า Honda Motor ไม่ใช่ของตระกูล ถ้าให้ลูกหลานที่ไม่มีความสามารถทำงานต่อบริษัทอาจจะเจ๊งก็ได้ เขาจึงให้พนักงานที่มีความสามารถบริหารงานต่อไป ทุกวันนี้ทั้งสองไม่ยุ่งเกี่ยวกับงานของบริษัท โดยเฉพาะ Honda มุ่งทำงานเกี่ยวกับความปลอดภัยของพาหนะในมูลนิธิเพื่อการกุศลSoichiro Honda เสียชีวิตด้วยวัย 84 ปี เมื่อวันที่ 5 กันยายน 1991 แต่เขาก็ได้ รับการจารึกชื่อในทำเนียบ ปูชนียบุคคลยานยนต์โลก (automotive hall of fame) เมื่อ 10 ตค.ปี 1989………นับเป็ยชาวเอเซียคนแรกที่ได้รับเกียรตินี้

ประวัติรถ Yamaha

ยามาฮ่า คอร์ปอร์เรชั่น (ญี่ปุ่นヤマハ株式会社 Yamaha Kabushiki Kaisha ?) เป็นบริษัทจากญี่ปุ่น สำนักงานใหญ่ตั้งอยู่ที่จังหวัดชิซุโอะกะ ผลิตสินค้าหลายอย่าง ได้แก่เครื่องดนตรี เช่น กีต้าร์ เบส คีย์บอร์ด เครื่องเสียง เครื่องจักร เช่น มอเตอร์ไซค์ และเครื่องยนต์เรือ
ยามาฮ่าก่อตั้งในปี ค.ศ. 1887 โดยเริ่มจากการผลิตเปียโน และรี้ดออร์แกน ต่อมาช่วงหลังสงครามโลกครั้งที่สองจึงได้ก่อตั้งบริษัทย่อยชื่อยามาฮ่ามอเตอร์ เพื่อผลิตและจำหน่ายรถจักรยานยนต์ ปัจจุบันเครื่องหมายการค้าของบริษัทยังบ่งบอกถึงจุดกำเนิด ว่ามาจากการเป็นผู้ผลิตเครื่องดนตรี คือเป็นรูปส้อมเสียง 3 ชิ้น ไขว้กันอยู่ [1]
ยามาฮ่ามีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับโตโยต้า โดยการถือหุ้นบางส่วนไขว้กันของโตโยต้า มอเตอร์, ยามาฮ่าคอร์ปอร์เรชั่น และยามาฮ่า มอเตอร์ และมีความร่วมมือในส่วนการออกแบบวิจัยและพัฒนา และกิจกรรมการตลาด


ประวัติ Ford Mustang

40 ปี ก่อนหน้านี้ ฟอร์ด มัสแตง ได้ถือกำเนิดขึ้นในโลกยานยนต์ ถือเป็นรถสปอร์ต ที่สามารถตอบสนองความต้องการของนักขับขี่ด้วยราคาที่ไม่สูงจนเกินไป ด้วยเหตุนี้ Mustang คันเเรกจึงได้เปิดตัวสู่สาธารณชนในปี 1964 ในงาน New York World Fair ด้วยรูปลักษณ์ที่โดดเด่นและสมรรถนะที่ดีเยี่ยมทำให้เป็นที่ถูกใจของนักขับ ชาวอเมริกันเป็นจำนวนมากและนับตั้งเเต่นั้นมา Mustang ก็เข้ามามีบทบาทในโลกยานยนต์มากขึ้นได้ฉายาว่าเป็นสุดยอดรถ Muscle Car ตั้งเเต่อดีตจนถึงเจเนอเรชั่นล่าสุด Mustang 2005 โดยหนังสือรถยนต์ ชื่อดังระดับโลกอย่าง Car&Driver ที่เลือก Mustang เป็น 1 ใน 10 รถยอดเยี่ยม (10 BEST) ปี2005 โดยจัดให้เป็น “Best Muscle Car”
ฟอร์ดได้พัฒนา Mustang 2005 ขึ้นมาใหม่หมด ลบโครงสร้างเดิมเเล้วเปลี่ยนมาใช้การออกแบบใหม่ทั้งหมดมีเป้าหมายให้เป็น Mustang ที่ทำความเร็วได้สูงขึ้น ปลอดภัยยิ่งขึ้นและแน่นอนว่าจะต้องดูดีที่สุดเมื่อเทียบกับรุ่นที่ผ่านมา ด้วยรูปทรงที่ดูกำยำ ด้วยการ ออกแบบเหมือนกับมีมัดกล้ามรอบคันจากตัวถังรถหรือซุ้มล้อที่โป่งออก ปราดเปรียวด้วยรูปทรงรถที่มีเส้นสายเฉพาะตัว ด้านหน้ายาวและหลังคาลาดลง ด้านท้ายที่เป็นเอกลักษณ์มาตลอดกว่า 40 ปี ซึ่งทำให้ดูทรงพลังและพร้อมจะทะยานไปข้างหน้าแม้ในขณะที่หยุดนิ่ง เพิ่มความดุดันด้วยไฟท้ายแบบ 3 ดวง ความยาวฐานล้อที่ถูกยืดออกมาอีก 6 นิ้ว นอกจาก จะทำให้รูปลักษณ์ภายนอกดูปราดเปรียวทรงพลังมากขึ้นแล้ว ยังเพิ่มพื้นที่ภายในห้องโดยสาร นั่งสบายมากขึ้น มีพื้นที่วางขา พื้นที่ว่างช่วงไหล่ และเหนือศีรษะ มากยิ่งขึ้น
นอกจากนี้ Mustang 2005 ยังเป็นรุ่นแรกของวงการรถยนต์ ที่ผู้ขับขี่สามารถ เลือกโทนสีของไฟหน้าปัดได้เอง เพียงกดปุ่มและเลือกสีไฟที่ต้องการจาก 125 สีที่มีให้เลือกตามอารมณ์ บุคลิกหรือกิจกรรมที่ทำและพวงมาลัย 3 ก้านจับกระชับมือ
Mustang 2005 เป็นรถขับเคลื่อนล้อหลัง ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของนักนิยมสปอร์ต คาร์ เเต่มีเครื่องยนต์2 ขนาดให้กับมัสแตง คือ วี 6 4.0 ลิตร ที่ให้กำลังสูงสุด 210 แรงม้า และ วี 8 4.6 ลิตร ที่ให้ กำลังสูงสุด 300แรงม้า ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 40 แรงม้าเมื่อเทียบกับรุ่น 2004 และเพิ่มขึ้นถึง 50% จากรุ่นปี 1964 มี 2 ตัวถังให้เลือกคือ คูเป้และเปิดประทุน เกียร์มีทั้งเกียร์ธรรมดา 5 สปีด และเป็นครั้งแรกที่ฟอร์ดได้พัฒนาเกียร์ออโตเมติก 5 สปีด ใน Mustang ที่ทำให้ขับได้อย่างสนุกสนานกับความทรงพลังของเครื่องยนต์ใหม่ที่เรียกพลัง ได้ทันใจ พร้อมทั้งให้ความประหยัดสูงสุดเมื่อขับขี่ทางไกลระบบช่วงล่างด้านหน้าแบบ แมคเฟอร์สัน สตรัทรุ่นใหม่ พร้อมเหล็กกันโคลง ด้านหลังเป็นแบบคานแข็งที่เพิ่มประสิทธิภาพในการทรงตัว เกาะถนนเป็นเยี่ยมแม้ในขณะ เข้าโค้งด้วยความเร็วสูง ดิสก์เบรก 4 ล้อ เบรกเอบีเอส ยางขนาด 235/55 ขอบ 17 นิ้ว เพิ่มความมั่นใจให้กับทุกการขับขี่
นอกจากนี้ ฟอร์ดยังได้ติดตั้งระบบความปลอดภัยส่วนบุคคล หรือ Personal Safety System? ที่รวมสุดยอดเทคโนโลยีด้านความปลอดภัยเพื่อให้ความอุ่นใจมั่นใจโดยเฉพาะ การปกป้องผู้ขับขี่และผู้โดยสารในกรณีการชนด้านหน้า ด้วยถุงลมนิรภัยคู่หน้าที่สามารถพองตัว ได้ถึง 2 แบบ คือในกรณีที่ชนอย่างรุนแรงและไม่รุนแรงมากนักที่ชนอย่างรุนแรงและไม่รุนแรง มากนัก    

ประวัติรถ Ford

ฟอร์ดเป็นรถยนต์นั่งที่มีชื่อเสียงเป็นที่รู้จักทั่วโลกยี่ห้อหนึ่ง และเป็นหนึ่งในบรรดารถยนต์เพียงไม่กี่ยี่ห้อที่มีประวัติความเป็นยาวนานเกือบหนึ่งศตวรรษ ชื่อ ฟอร์ด ( FORD ) ซึ่งเป็นยี่ห้อของรถ ได้มาจากชื่อสกุลของนายเฮรี่ ฟอร์ด ( HENRY FORD ) อัจฉริยะบุคคลนักประดิษฐ์ ผู้ก่อตั้งกิจการรถยนต์ ฟอร์ด ขึ้นในสหรัฐอเมริกาเมื่อเกือบศตวรรษที่ผ่านมานั่นเอง สัญญาลักษณ์รถยนต์ฟอร์ดที่ใช้กันทั่วโลก เป็นรูปวงกลมสีน้ำเงินมีเส้นขอบสีขาว และตรงกลางเป็นตัวอักษร FORD สีขาว ฟอร์ด เริ่มกิจการในสหรัฐอเมริกาเมื่อปี 1903 หลังจากนั้นจึงขยายตัวออกสู้ประเทศต่างๆ ทั่วโลก ปัจจุบันมีสาขาต่างประเทศที่ทรงความสำคัญที่สุดคือ ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ลิมิเทด ( FORD MOTOR CO.,LTD. ) แห่งประเทศอังกฤษ หรือที่เรียกย่อๆว่า “ ฟอร์ดอังกฤษ “ ในสมัยที่ฟอร์ดยังไม่มีสาขาในยุโรป ฟอร์ดส่งรถที่ผลิตในอเมริกาเข้าไปจำหน่ายในยุโรป โดยมอบหมายให้นาย เพอร์ชิวาล เพอร์รี ( PERCIVAL PERRY ) นักธุรกิจชาวอังกฤษเป็นตัวแทนจำหน่ายแต่เพียงผู้เดียวจนกระทั่งปี 1911 จึงมีการก่อตั้ง ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ลิมิเทด ขึ้นในอังกฤษ

โดยฟอร์ดมอเตอร์ คัมปะนี แห่งสหรัฐอเมริกาถือหุ้นร้อยละ 60 และนายเพอร์รีกับสมัครพรรคพวกถือหุ้นส่วนที่เหลือ ในระยะแรกของการก่อตั้ง ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ลิมิเทด มีฐานะเป็นเพียงตัวแทนจำหน่ายรถยนต์ฟอร์ดในยุโรป จนเมื่อปี 1925 หรือ 14 ปีหลัง การก่อตั้งกิจการนั่นแหละ จึงมีการก่อสร้างโรงงานผลิตรถยนต์ฟอร์ดขึ้นในอังกฤษ และฟอร์ดแบบแรกที่ผลิตในอังกฤษก็ออกสู่ตลาดเป็นครั้งแรกใน 6 ปีต่อมา รถฟอร์ดอังกฤษที่ผู้ใช้รถในเมืองไทยรู้จักกันดีคือ รถฟอร์ดแองเกลีย ( รุ่นปี 1939 ) รถฟอร์ด คอนซูล และฟอร์ด เซไฟร์ ( รุ่นปี 1951 ) รถฟอร์ด คาพรี ( รุ่นปี 1961 ) รถฟอร์ด คอร์ทีนา ( รุ่นปี 1966 ) และรถฟอร์ด เอสคอร์ท ( รุ่นปี 1968 ) ปัจจุบันฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ลิมิเทด เป็นผู้ผลิตรถยนต์นั่งรายใหญ่ในอังกฤษ ในรอบปี 1990 ที่ผ่านพ้นไป ฟอร์ดครองส่วนแบ่งรถยนต์นั่งในอังกฤษถึงร้อยละ 25.3 และฟอร์ด ฟิเอสตา ( FORD FIESTA ) กับ รถ ฟอร์ด เอสคอร์ท ( FORD ESCORT ) ครองต่ำแหน่งรถยอดนิยมของชาวอังกฤษด้วยยอดขาย 151,475 และ 141,985 คัน ตามลำดับ
ชื่อบริษัท ฟอร์ด มอเตอร์ คัมปะนี ลิมิเทด
ก่อตั้ง ค.ศ. 1903
สำนักงานใหญ่ BRENTWOOD ESSEX CM13 3MWENGLAND
โรงงานในอังกฤษ 8 โรงงาน


รถรุ่นสำคัญ ฟอร์ด พรีเฟคท์ ( 1938 )
ฟอร์ด แองเกลีย ( 1639 )
ฟอร์ด คอนซูล ( 1939 )
ฟอร์ด เซไฟร์ ( 1951 )
ฟอร์ด คอนซูล มาร์ค ทู ( 1956 )
ฟอร์ด คาพรี ( 1961 )
ฟอร์ด คอร์ทีนา ( 1962 )
ฟอร์ด คอร์แซร์
ฟอร์ด คอร์ทีนา มาร์ค ทู ( 1966 )
ฟอร์ด เอสคอร์ท ( 1968 )
ฟอร์ด คาพรี ( 1969 )
ฟอร์ด ฟิเอสตา ( 1977 )
ฟอร์ด เอสคอร์ท ( 1980 )
ฟอร์ด สิเอร์รา ( 1982 )
ฟอร์ด กรานาดา ( 1985 )